วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กิจกรรมที่ 5


 ประวัติ  ร.ศ. สุนีย์ สินธุเดชะ


การศึกษา
  • ได้รับปริญญาอักษรศาสตร์บัณฑิต และครุศาสตร์บัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยเป็นนักเรียนทุนกระทรวงศึกษาธิการ
  • ได้รับพระราชทานปริญญาดุษฎีบัณฑิตสาขานิเทศศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
  • ได้รับพระราชทานปริญญาดุษฎีบัณฑิตปรัชญา สาขาพัฒนศึกษา จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น

การงาน
           ปีการศึกษา 2503-2540 ได้รับการคัดเลือกเข้ารับราชการในคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย

ประสบการณ์
  • บรรยายอบรมในสถานศึกษาเกี่ยวกับเอกลักษณ์ วัฒนธรรมของชาติแก่สถาบันการศึกษา ตั้งแต่ระดับมัธยมถึงอุดมศึกษา
  • บรรยายวิชาภาษาไทยแก่นักศึกษาชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยพยาบาลสภากาชาดไทย วิทยาลัยพยาบาลพระมงกุฎเกล้า วิทยาลัยพยาบาลราชวิถี วิทยาลัยพยาบาลโรงพยาบาลภูมิพล วิทยาลัยพยาบาลพระปิ่นเกล้า วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ วิทยาลัยพยาบาลเกื้อการุณย์
  • บรรยายและอภิปรายเป็นครั้งคราว แก่วิทยาลัยพยาบาลเชียงใหม่ วิทยาลัยพยาบาลสงขลานครินทร์ และอีกหลายมหาวิทยาลัยที่ต้องการให้นักศึกษาได้เรียนรู้ด้านภาษากับการสื่อสาร
  • บรรยายและอบรมในเวลาที่ข้าราชการครูจัดทำปฏิบัติการด้านการเรียนการสอน โดยบรรยายด้านการสอนโดยทั่วไป และเฉพาะวิชาวิธีสอนวิชาภาษาไทย
  • บรรยายแก่ข้าราชการ และองค์กรทางธุรกิจ เรื่องวัฒนธรรมองค์กรและการทำงานอย่างเป็นสุข และหัวข้ออื่นๆตามผู้เชิญต้องการแต่อยู่ในเกณฑ์ที่ได้ศึกษามา
  • ศึกษาดูงานที่มหาวิทยาลัยการโรงแรมที่ประเทศสิงคโปร์ (Shatee University)
  • ศึกษาดูงานการเรียนการสอนวิชาการโรงแรม ณ มหาวิทยาลัยHawaii
  • ศึกษาดูงานการศึกษาภาษาต่างประเทศและกิจกรรมด้านการเรียนวิชาการโรงแรม ณ มหาวิทยาลัยโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

ปัจจุบัน
          ดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต และ ผู้อำนวยการด้านการศึกษาและประชาสัมพันธ์ โครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและภาษา IES 
ตำแหน่งทางวิชาการ
          รองศาสตราจารย์ ระดับ 9
งานเขียนพิเศษ
  • ตอบปัญหาด้านการศึกษาแก่นักเรียนและผู้ปกครอง ทางหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันอาทิตย์ (หน้า 12)
  • ตอบปัญหาชีวิตในนิตยสารดาราภาพยนตร์
  • เขียนตำราวิชา ภาษาไทยกับการสื่อสาร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-5-6
  • เขียนตำราวิชา ภาษาไทยธุรกิจ สำหรับนักศึกษาปวช. 3
  • เขียนตำรา มารยาทและวัฒนธรรมไทย สำหรับนักศึกษาปวช. 3
นักเรียนประยุกต์สิ่งที่ดีของครูมาใช้ในการพัฒนาตนเอง
          ท่านใช้จิตวิญญาณในการสอน เข้าถึงอารมณ์ความรู้สึก สอนอย่างมีพลัง มีความเที่ยงตรงยุติธรรม ตรงไปตรงมา ทำให้อยากเป็นครูที่สอนอย่างเข้าถึงจิตวิญญาณของวิชา เข้าใจสิ่งที่สอนอย่างถ่องแท้ และมีความซื่อสัตย์ต่องานที่ทำ

วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กิจกรรมที่ 4

การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ


การทำงานเป็นทีม  จะเป็นประโยชน์สูงสุดขององค์กร  และมีโอกาสประสบผลสำเร็จมากกว่าการทำงานคนเดียว  แต่การสร้างทีมงานนั้นต้องใช้ เวลา ในการพัฒนาบุคคล  และพัฒนาทีมงานพอสมควร จึงจะเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ
                ขั้นตอนการทำงานเป็นทีม
                             1. วิเคราะห์งาน
                             2. กำหนดเป้าหมายร่วมกัน
                             3. วางแผนการทำงาน
                             4. แบ่งงานให้สมาชิกของทีม
                             5. ปฏิบัติจริงตามแผน
                             6. ติดตามผลและนิเทศงาน
                             7. ประเมินขั้นสุดท้าย
                ทีมงานที่มีประสิทธิภาพ
             เข้าใจวัตถุประสงค์และเป้าหมายชัดเจน  เปิดเผยจริงใจและร่วมกันแก้ปัญหา  สนับสนุนไว้วางใจ ยอมรับ และรับฟังกัน  ร่วมมือกัน ใช้ความขัดแย้งในเชิงสร้างสรรค์  ทบทวนการปฏิบัติงานและตื่นตัวตลอดเวลา  มีการพัฒนาตนเอง  รู้จักตนเองและรู้จักผู้อื่น เข้าใจต่อเพื่อนร่วมงาน  และสามารถร่วมกลุ่มกันได้เป็นอย่างดี

ตอบคำถาม เรื่อง การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ
          1.แนวคิดหลักการทำงานเป็นทีม เป็นอย่างไร 
   แนวคิดและหลักการทำงานเป็นทีมนั้นควรมี 3 ประการคือ
                   1. การยอมรับความแตกต่างของบุคคล
                   2. แรงจูงใจของมนุษย์
                   3. ธรรมชาติมนุษย์
          2. นักศึกษาจะมีวิธีการทำงานเป็นทีมให้มีประสิทธิภาพทำอย่างไร  ยกตัวอย่างประกอบ
    เข้าใจวัตถุประสงค์และเป้าหมายชัดเจน                 เปิดเผยจริงใจและร่วมกันแก้ปัญา   สนับสนุนไว้วางใจ ยอมรับ และรับฟังกัน            ร่วมมือกัน ใช้ความขัดแย้งในเชิงสร้างสรรค        ทบทวนการปฏิบัติงานและตื่นตัวตลอดเวลา        มีการพัฒนาตนเอง        รู้จักตนเองและรู้จักผู้อื่น เข้าใจต่อเพื่อนร่วมงาน และสามารถร่วมกลุ่มกันได้เป็นอย่างดี
           นอกจากนี้ในการทำงานเป็นทีมนั้นจะต้องมีขั้นตอนในการทำงานเป็นทีม   ซึ่งจะต้องวิเคราะห์งานกำหนดเป้าหมายร่วมกัน   วางแผนการทำงาน   กำหนดกิจกรรม   แบ่งงานให้สมาชิกของทีม   ปฏิบัติจริงตามแผน   ติดตามผล และนิเทศงาน   ประเมินขั้นสุดท้าย  ถ้าหากทีมมีองค์ประกอบทั้งหมดนี้ก็จะทำให้ทีมมีประสิทธิภาพ

วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กิจกรรมที่ 3

1.   การจัดการเรียนการสอนจัดชั้นเรียนเตรียมการสอนในยุคศตวรรษที่ 21 กับยุคก่อนศตวรรษที่ 21  เปรียบเทียบกันแตกต่างกันอย่างไร
ในยุคศตวรรษที่ 21  เป็นการเตรียมตัวเพื่อชีวิต ดังนั้นเมื่อถึงระยะหนึ่ง  การเรียนรู้ก็จะสิ้นสุดลงเพื่อการเริ่มต้นของชีวิต การเรียนรู้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในโรงเรียน  และจะมีผู้ที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษ หรือผู้ที่มีความรู้เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้   การศึกษาจะเกิดขึ้นในโรงเรียนเท่านั้น ทำให้มนุษย์ในยุคนี้ไม่รู้จักเรียนรู้ด้วยตนเอง และไม่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง  ถ้าคนใดจดจำความรู้ได้มาก ย่อมเรียนรู้ได้ดีกว่าคนที่จดจำความรู้ได้น้อย
ส่วนในยุคศตวรรษที่ 21 การเรียนรู้คือชีวิต เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ที่ต้องเรียนรู้ (learning animal) ตราบที่ยังมีชีวิตอยู่  การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ทุกหนทุกแห่ง และเกิดขึ้นที่ไหนก็ได้  มนุษย์สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ในยุคนี้การศึกษาเป็นกิจกรรมตลอดชีวิต ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ให้สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคลได้ มนุษย์สามารถเรียนรู้และตัดสินใจด้วยตนเองได้ว่าจะเรียนอะไร เรียนอย่างไร ในยุคนี้ มนุษย์ทุกคนได้รับการกล่อมเกลา และมีความเจริญก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ในสังคมที่ตนเป็นสมาชิกอยู่แล้ว
2.   ครูผู้สอนจะต้องเตรียมตัวอย่างไรในอนาคตที่ท่านจะเป็นครูยุดต่อไปข้างหน้า ให้สรุปตามแนวคิดของนักศึกษ
ต่อไปครูผู้สอนต้องมีความรู้ที่กว้างขวางมากขึ้น เพราะเมื่อประเทศเข้าประชาคมอาเซียนความรู้วิทยาการต่างๆ ก็จะมีหลากหลายขึ้น ครูต้องมีความถนัดในภาษาอังกฤษ มีความรู้ที่เท่าทันโลก เพื่อที่จะไปสอนเด็กให้รู้เท่าทันโลกเช่นกัน เพราะเมื่อมีการปะปนกันในเรื่องเชื้อชาติ และศาสนาแล้ว ปัญหาต่างๆ ก็จะตามมามากมาย ครูจึงต้องเป็นผู้นำที่ดีแก่เด็ก

กิจกรรมที่ 2

ทฤษฏีการบริหารการศึกษา
มาสโลว์ แบ่งความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ออกเป็น 5 ระดับด้วยกัน ได้แก่
     1.ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs) หมายถึงความต้องการพื้นฐานของร่างกาย
      2.ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs) หมายถึง ความต้องการมั่นคงปลอดภัยทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
     3. ความต้องการทางสังคม (Social Needs) หมายถึง ความต้องการที่จะเป็นที่รักของ
     4.ความต้องการยกย่องชื่อเสียง (Esteem Needs) หมายถึง ความปรารถนาที่จะมองตนเองมีคุณค่าสูง     
    5.ความต้องการที่จะรู้จักตนเองตามสภาพที่แท้จริงและความสำเร็จของชีวิต(Self–ActualizationNeeds) หมายถึง ความต้องการที่จะรู้จักและเข้าใจตนเองตามสภาพที่แท้จริง
แมคเกรเกอร์ การจัดการจากพื้นฐานของบุคคลของผู้บริหารที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งในทฤษฎีนี้มีหลักสำคัญ 3 ประการ คือ
     1.) Individualism คือ การที่สังคมอเมริกันเป็นสังคมแบบ ปัจเจกบุคคล
     2.) Short Term Employment คือ การจ้างงานในระยะสั้น คนอเมริกันมักไม่มีความผูกพันในครอบครัว
     3.) Individual Decision Making สูง มีความมั่นใจในการตัดสินใจ กล้าตัดสินใจ
วิลเลี่ยม โอชิ มองเห็นข้อดีและข้อเสียของ 2 ทฤษฎีตัวอย่าง ซึ่งเป็นแนวคิดของการบริหารจัดการเชิงจินตนาการ โดย
     1.) ใช้วิธีแบบ Long Term Employment หรือการจ้างงานระยะยาวขึ้น ซึ่งเป็นทางสายกลาง
     2.) ประการที่สอง ที่เรียกว่า Individaul Responsibility คือ จะต้องมีความรับผิดชอบส่วนบุคคล
     3.) และประการที่ 3 คือ ต้องมี Concential Decision Making คือ การตัดสินใจต้องทำเป็นทีม
อังริ ฟาโยล (Henri Fayol) หลักการจัดการ 14 ประการ (Fayol's Fourteen Principles of Management)
ซึ่งมีดังต่อไปนี้ คือ
     1. การจัดแบ่งงาน (division of work)    2. การมีอำนาจหน้าที่ (authority)
     3. ความมีวินัย (discipline)                        4. เอกภาพของสายบังคับบัญชา (unity of command)
     5. เอกภาพในทิศทาง                                6. ผลประโยชน์ของหมู่คณะจะต้องเหนือผลประโยชน์ส่วนตน
     7. มีระบบค่าตอบแทนที่ยุติธรรม            8. ระบบการรวมศูนย์ (centralization)
     9. สายบังคับบัญชา (scalar chain)         10. ความเป็นระบบระเบียบ (order)
     11. ความเท่าเทียมกัน (equity)               12. ความมั่นคง และสามัญฐานะของบุคลากร
     13. การริเริ่มสร้างสรรค์ (initiative)       14. วิญญาณแห่งหมู่คณะ (esprit de corps)
แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) แนวคิดการจัดองค์กรของเว็บเบอร์มี 6  ประการมีดังนี้ คือ
     1. องค์การต้องมีการจัดแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ
     2. องค์การนั้นต้องมีสายบังคับบัญชาตามลำดับชั้น ( Authority Hierarchy)
     3. ระบบการคัดเลือกคนนั้นต้องกระทำอย่างเป็นทางการ ( Formal Selection)
     4. องค์การต้องมีระเบียบ และกฏเกณฑ์ (Formal Rules and Regulations)
     5. ความไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ( Impersonality)
     6. การแยกระบบการทำงานออกเป็นสายอาชีพ (Career Orientation) Luther Gulick : POSDCORB
Luther Gulick   กิจกรรม 7 ประการมีดังนี้
           P คือการวางแผน (planning) หมายถึงการกำหนดเป้าหมายขององค์การว่าควรทำงาน
           O คือการจัดองค์การ (organizing) หมายถึงการจัดตั้งโครงสร้างอำนาจอย่างเป็นทางการภายในองค์การ
           D คือการสั่งการ (directing) หมายถึง การที่หัวหน้าฝ่ายบริหารมีหน้าที่ต้องตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา
           S คือการบรรจุ (staffing) หมายถึง หน้าที่ด้านบริหารงานบุคคลเพื่อฝึกอบรมเจ้าหน้าที่
           CO คือการประสานงาน(co-ordinating) หมายถึง หน้าที่สำคัญต่าง ๆ ในการประสานส่วนต่าง ๆ
           R คือการรายงาน (reporting) หมายถึง การรายงานความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในองค์การให้ทุกฝ่ายทราบ
เฟรเดอริค เฮิร์ซเบอร์ก (Frederick Herzberg)ได้ผลสรุปว่าแรงจูงใจของมนุษย์จะประกอบด้วย 2 ปัจจัย คือ
     1.ปัจจัยภายนอก(Hygiene Factors) ได้แก่
                               นโยบายขององค์กร  การบังคับบัญชา  ความสัมพันธ์กับหัวหน้างาน  สภาพแวดล้อม/เงื่อนไขในการทำงาน  ค่าจ้าง/เงินเดือน/สวัสดิการ  ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน
2. ปัจจัยภายใน(Motivation Factors) ได้แก่
                                การทำงานบรรลุผลสำเร็จ  การได้รับการยอมรับ  ทำงานได้ด้วยตนเอง  ความรับผิดชอบ  ความก้าวหน้าในงาน  การเจริญเติบโต
เทย์เลอร์  ปรัชญาการบริหารของเทย์เลอร์ได้แก่
      1.ทำการศึกษางานแต่ละส่วนด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์และพัฒนาวิธีการที่ดีที่สุด
      2.ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการคัดเลือกและการฝึกอบรมพนักงานและมอบหมายความรับผิดชอบ
      3. มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้บริหารและพนักงาน
      4. แบ่งงานและความรับผิดชอบในงานเป็นส่วนต่าง ๆ
  การบริหารการศึกษา
บทที่ 1
มโนทัศน์เกี่ยวกับการบริหารการศึกษา
                การบริหาร  เริ่มใช้เมื่ออาณาจักรโรมันล่มสลายโดยกลุ่มนักรัฐศาสตร์ซึ่งเรียกตัวเองว่า “Cameralists”ให้คำจำกัดความ  การบริหาร  หมายถึง  การจัดการหรือควบคุมกิจการต่างๆ 
การบริหารการศึกษา  หมายถึง  กิจกรรมต่างๆ  ที่บุคคลหลายคนร่วมกันดำเนินการ 
                ปรัชญาของการศึกษามีอยู่  13  ประการ  คือ
               1.ผู้บริหารต้องใช้ความฉลาดไหวพริบมาใช้แก้ปัญหาต่างๆ
              2. ผู้บริหารต้องเปิดให้คนจำนวนมากเข้าร่วมในการทำงาน
              3.ผู้บริหารต้องเคารพความเป็นคนของแต่ละคน
              4.ผู้บริหารต้องยึดเป้าหมายของการศึกษาเป็นหลักการบริหาร
              5.ผู้บริหารต้องถือว่าตนเป็นผู้ประสานประโยชน์
             6.ผู้บริหารต้องเปิดโอกาสให้คนเข้าพบทำความเข้าใจกันได้ทุกเมื่อ
             7.ผู้บริหารต้องถือว่าตนเป็นผู้นำ
             8. ผู้บริหารต้องถือว่าตนเองคือนักศึกษาผู้ยึดมั่น
             9. ผู้บริหารต้องเสียสละทุกอย่าง
             10. ผู้บริหารจะต้องประสานงาน
             11.ผู้บริหารจะต้องบริหารงานอยู่เสมอ
             12. ผู้บริหารต้องเคารพในวิชาชีพของการบริหาร
              13.ผู้บริหารต้องขวนขวายหาความรู้ใส่ตนอยู่เสมอ  และแสวงหาความชำนาญ

บทที่  2
วิวัฒนาการของการบริหารยุคต่างๆและการประยุกต์ใช้ในการบริหารการศึกษา
2.1 วิวัฒนาการด้านรัฐกิจ
              การบริหารงานของรัฐหมายถึง  การบริหารหรือจัดการหรือดำเนินการในด้านรายละเอียดอย่างมีแบบแผน 
2.2  วิวัฒนาการด้านธุรกิจ
             การจัดการ  เป็นสาขาที่สำคัญ  นอกจากการใช้  ระเบียบวินัยในการทำงาน  การบริหารด้านธุรกิจมีการวางกฎเกณฑ์  ระเบียบปฏิบัติวัตถุประสงค์และการรวมพลังของกลุ่ม 
2.3  การแบ่งยุคของยุคของนักทฤษฎีการบริหาร
       2.3.1  ยุคที่  1  นักทฤษฎีการบริหารสมัยเดิม
                   การจัดการงานซึ่งได้ปฏิบัติ  โดยอาศัยหลักควบคุมทาง
       2.3.2  การประยุกต์ใช้หลักการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ในการบริหารการศึกษา
                   เนื่องด้วยองค์การปัจจุบันมีความสับสนมาก  การต่อรองการแสดงความไม่พอใจของพนักงานในเรื่องอำนาจหน้าที่ของผู้บริหารมีอยู่เสมอ 
       2.3.3  ยุคที่  2  ยุค  Human  Relation  Era  ทฤษฎีมนุษยสัมพันธ์
                 ความรู้ความชำนาญของผู้บริหาร  คือ  ผู้บริหารต้องมีความรู้  ความฉลาด  และมีประสบการณ์
       2.3.4  การประยุต์ใช้หลักมนุษย์สัมพันธ์ในการบริหารการศึกษา
       2.3.5  ยุคที่  3  ยุคการใช้ทฤษฎีทางการบริการ
                  การจัดองค์การที่เป็นทางการ จึงให้ทฤษฎีองค์การและยึดตามแนวมนุษยสัมพันธ์ให้ความสำคัญกับตัวบุคคล  มุ่งด้านระบบขององค์การ  และสนใจจะพูดถึงพฤติกรรมศาสตร์
       2.3.6  การประยุกต์ใช้พฤติกรรมศาสตร์ในการบริหารการศึกษา
       2.3.7  ทฤษฎีองค์การเชิงระบบ
       2.3.8  การประยุกต์เชิงระบบในการบริหารการศึกษา
บทที่  3
งานบริหารการศึกษา
                        การควบคุมอย่างเข้มงวดและมีการลงโทษหากผู้ใดฝ่าฝืนและลงโทษตามกฎหมายกำหนดและมีเครือข่ายทางการศึกษาดังนี้
                        1.การผลิต  หมายถึง  กิจกรรมพิเศษหรืองานที่ทางองค์การได้จัดตั้งขึ้น  ในทางการศึกษา
                        2.การประกันถึงการใช้ผลผลิตจากประชาชน  หมายถึง  กิจกรรมและผลผลิตของการดำเนินงาน
                        3.การเงินและการบัญชี  หมายถึง  การรับและการจ่ายเงินในการลงทุนในกิจกรรมขององค์การ
                       4.บุคลากร  คือ  การกำหนดรอบและการดำเนินการของนโยบาย
                       5.การประสานงาน  คือ  เป็นกิจกรรมที่สำคัญของการบริหารการศึกษา
บทที่  4
กระบวนการทางการบริหารการศึกษา
                     การบริหารการศึกษาเป็นหน้าที่หนึ่งของรัฐบาลในการบริหารประเทศ  เป็นการบริหารธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาแก่เด็กและเยาวชน  ที่เรียกว่าการบริหารการศึกษาสิ่งที่ทำให้การบริหารการศึกษา  การบริหารราชการ  และการบริหารธุรกิจจะแตกต่างกัน  และปรัชญาการศึกษา  ในการบริหารการศึกษาผู้บริหารนั้นจะต้องรู้เกี่ยวกับหลักการบริหาร  ที่สามารถนำไปเป็นหลักการจัดการศึกษาในโรงเรียนมี  2  เรื่อง  คือ  1.การจัดระบบสังคม,2.เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการศึกษาสำหรับหลักการจัดระบบการศึกษา  ไม่ว่าระดับชาติ  ระดับท้องถิ่น  ระดับโรงเรียน      คือ  จะต้องรู้จักเด็กทุกคน  โดยยึดหลักความเสมอภาคและเหมาะสมกับปรัชญา สภาพแวดล้อมของโรงเรียน  และมีการส่งเสริมกิจกรรมให้สอดคล้องกับการปกครองในการบริหารงานในชั้นเรียนอย่างเท่าเทียมกันโดยกระบวนการบริหารการศึกษา  เป็นความคิดรวบยอดและเป็นการจัดระบบการศึกษา  ให้เป็นไปตามกระบวนการศึกษาของโรงเรียน
   บทที่  5
องค์การและการจัดองค์การ
            ความหมายขององค์การ  เราสามารถจำแนกองค์การที่อยู่รอบตัวเราออกเป็น  3  ลักษณะใหญ่ๆคือ
                     1. องค์การทางสังคม         2.องค์การทางราชการ       3.องค์การเอกชน
            องค์การตามแนวคิด หมายถึง  ส่วนประกอบที่เกิดจากระบบย่อยหลายระบบที่มีปฏิสัมพันธ์ 
            แนวคิดในการจัดองค์การ
                    1.  แนวคิดในการจัดองค์การมาจากพื้นฐานการดำเนินงานขององค์การที่ภารกิจมาก
                    2.  แนวคิดในการจัดองค์การยังต้องคำนึงถึง  ผู้ปฏิบัติงาน
                     3.  แนวในการจัดการองค์การ  จะต้องกล่าวผู้บริหารควบคู่กันไป
             ความสำคัญของการจัดองค์การ
                       องค์การเป็นที่รวมของคนและเป็นที่รวมของงานต่างๆ  เพื่อให้พนักงานขององค์การ
             หลักการในการจัดองค์การ
                          1.  หลักวัตถุประสงค์                         2.  หลักความรู้ความสามารถเฉพาะอย่าง
                          3.  หลักการประสานงาน                  4.   หลักการบังคบบัญชา
                          5.  หลักความรับผิดชอบ                    6.  หลักความสมดุล
                          7.  หลักความต่อเนื่อง                        8.  หลักการโต้ตอบและการติดตาม
                          9.  หลักขอบเขตของการควบคุม      10.  หลักเอกภาพในการบังคับบัญชา
                         11.  หลักตามลำดับขั้น                       12.  หลักการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง
              องค์ประกอบในการจัดองค์การ
                          1.  หน้าที่การงานเป็นภารกิจ           2.  การแบ่งงานกันทำ
                          3.  การรวมและการกระจายอำนาจในการจัดการองค์การ
            ประเภทขององค์การรูปนัย   แบ่งออก  4  ประเภท
                           1.  สมาคมเพื่อประโยชน์ของสมาชิก            2.  องค์การทางธุรกิจ
                          3.  องค์การเพื่อบริการ                                       4.  องค์การเพื่อสาธารณชน
           ทฤษฎีองค์การ
                          ทฤษฎีองค์การ  คือ  ความรู้ที่ได้จากทฤษฎีขององค์การอันด้มาจากสังคมวิทยา  รัฐศาสตร์  และบางส่วนของจิตวิทยาสังคมกับเศรษฐศาสตร์      
           ระบบราชการและองค์การทางการศึกษา
                ระบบราชการ  หมายถึง  ระบบการบริหารที่มีลักษณรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางอย่างมาก 
บทที่ 6
การติดต่อสื่อสาร
                          การติดต่อสื่อสารเป็นองค์ประกอบหนึ่งในกระบวนการบริหารที่ดี มีความหมายว่ากระบวนการติดต่อเกี่ยวข้องและประสานงานกันระหว่างบุคคล โดยอาศัยวิธีการถ่ายทอด และการรับข้อมูลเพื่อเป้าหมายที่ตั้งไว้ การติดต่อสื่อสารจึงมีความสำคัญอย่างหนึ่งในการบริหารเพื่อการแลกเปลี่ยนความคิดหรือเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างกันและยังมีความสำคัญในการดำเนินการในองศ์การอย่างมาก ปัจจัยในการติดต่อสื่อสารมี 3 ตัว คือ สื่อ ช่องทางที่สื่อผ่านและกระบวนการ รูปแบบของการติดต่อสื่อสาร การจัดเตรียม การสังเกตการณ์ของกระบวนการ การจำแนกปัจจัยผันแปร ชึ่งสิ่งเหล่านี้จะกำหนดทิศทาง ช่วยให้ผู้บริหารจับประเด็นปัญหาของการติดต่อสื่อสาร และช่วยป้องกันความยุ่งยากที่อาจเกิดขึ้นก่อนล่วงหน้า องค์ประกอบของการติดต่อสื่อสารจะมีผู้ส่งสาร ช่องทาง ข้อมูล ผู้รับสาร การตอบรับ ส่วนการติดต่อสื่อสารจะมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข่าวสารมีความเข้าใจระหว่างผู้ปฎิบัติงานเพื่อการทำงานไปด้วยดี ช่วยสร้างทัศนคติเกิดแรงจูงใจ เพื่อเกิดแรงจูงใจ
บทที่ 7
ภาวะผู้นำ
                           ภาวะผู้นำ หมายถึงการเป็นผู้นำที่ใช้อิทธิพลในการดำเนินงาน ในความสัมพันธ์ต่อผู้ใต้บังคับบัญชาในสถานการณ์ต่างๆเพื่อปฏิบัติการและอำนวยการ โดยใช้กระบวนการติดต่อชึ่งกันและกัน หน้าที่ผู้นำเกี่ยวข้องกับ การอำนวย การจูงใจ การริเริ่ม กำหนดนโยบาย วินิจฉัยสั่งการ องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับภาวะผู้นำ มีผู้นำ ผู้ตาม สถานการณ์ ผู้นำกับผู้บริหารจะแตกต่างกันคือผู้นำก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์กร ส่วนผู้บริหารเป็นผู้รักษาความมั่นคงในหน่วยงาน ผู้นำจะกลุ่มยกย่องเนื่องจากมีลักษณะเด่นเป็นพิเศษเหนือบุคคลอื่นเนื่องจากผู้บริหารมีรูปแบบเป็นทางการ
บทที่ 8
การประสานงาน
                               การประสานงาน คือการจัดระเบียบวิธีการทำงาน เพื่อให้งานและเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่งๆร่มมือปฎิบัติงานเป็นน้ำหนึ่งเดี่ยวกัน เพื่อให้งานดำเนินไปอย่างราบรื่นสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และนโยบาย ความมุ่งหมายในการประสานช่วยให้คุณภาพและผลงานเป็นไปตามวัตถุประสงค์ เพื่อจัดความซ้ำซ้อนกันของการทำงานโดยไม่จำเป็น และเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งกันระหว่างเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงาน ภารกิจในการประสานงานที่ดี ควรทราบถึงภารกิจที่ดีในการประสานงานคือต้องทราบนโยบาย แผนงาน งานที่รับผิดชอบ และทรัพยากร ส่วนหลักการประสานงานควรจัดให้มีระบบในการสื่อสาร ความร่วมมือ การประสานงานและนโยบายที่ดี และในการประสานให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วควรจะมีโครงสร้างที่จัดเป็นระบบแบบแผน มีแผนภูมิแสดงสายการบังคับ มีการเขียนนโยบาย มีระบบเสนองาน มีเครื่องมือและระบบสื่อสารที่เพียงพอและเปิดโอกาสให้กับผู้เข้าร่วม การประสานงานที่ดีจะมีประโยชน์หลายอย่างคือช่วยลดการขัดแย้ง ลดปัญหาที่ซับซ้อน ทำให้เกิดเอกภาพในการทำงาน ช่วยให้ประหยัดเงิน เวลา
บทที่ 9
การตัดสินใจสั่งการหรือการวินิจฉัยสั่งการ
                             การตัดสินใจคือการชั่งใจไตร่ตรองหาเหตุผลเพื่อให้การดำเนงานไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ ส่วนการวินิจฉัยสั่งการคือการสั่งงานหรือการพิจารณาตกลงชี้ขาดจากทางเลือกที่มีอยู่มากกว่าหนึ่งทางขึ้นไป หลักการในการตัดสินใจหรือวินิจฉัยสั่งการ บางครั้งตัดสินใจถูกแต่การสั่งงานผิดพลาดอาจทำให้เกิดผลเสียหายแก่งาน  ลักษณะการวินิจฉัยสั่งการของผู้บริหารที่ดี จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้ ระยะเวลาที่เหมาะสม ความแน่นอน ความรู้ความสามารถของผู้บริหาร ประสบการณ์ในการทำงาน ทัศนคติ บุคลิกภาพที่มีอิทธิพล ความลำเอียงส่วนบุคคล ความโดดเดี่ยว ประสบการณ์ การรู้โดยความรู้สึก และการแสวงหาคำแนะนำ
บทที่ 10
ภารกิจของผู้บิหารโรงเรียน
                           ผู้บริหารโรงเรียน ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ได้รับการแต่งตั้งหรือมอบหมายงานให้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการศึกษาหรืออำนวยการต่างๆ  จะมีหลายด้าน ดังนี้   1.การบริหารงานวิชาการ จะเป็นหัวใจของการบริหารในโรงเรียน ลักษณะและความสำคัญของงานวิชาการ จึงถือว่างานวิชาการท้าทายผู้บริหารการศึกษา งานวิชาการจะเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน และผู้บริหารจะต้องรับรู้ รับผิดชอบ ควบคุมดูแลในการดำเนินการวางแผน  2.การบริหารบุคคล คือการจัดงานเกี่ยวกับคนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่งเสริมให้กำลังใจผู้ปฎิบัติให้ทำงานอย่างมีปะสิทธิภาพ  ความสำคัญของการบริหารบุคคล คือ คนเป็นผู้บันดาลให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น วัตถุประสงค์ เพื่อสรรหาและเลือกสรรคนดี มีความรู้ความสามารถมาทำงานให้เกิดผลสูงสุดอยู่กับองศ์การนานๆ  3.การบริการธุรการในโรงเรียน คืองานธุรการเป็นเรื่องของการให้บริการแก่หน่วยงานต่างๆของโรงเรียนหรอสถาบันการศึกษา ส่งผลให้การเรียนการสอนเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด ความสำคัญจะเป็นเสมือนน้ำมันหล่อลื่นให้เครื่องจักร(งานวิชาการ) ทำงานได้ดีและเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความสามารถของผู้บริหารงาน หน้าที่ของผู้บริหารงานธุรการ คือจะเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายงานธุรการ ติดตามและวางแผนการปฎิบัติงาน จัดระบบงาน  4.การบริหารงานนักเรียน เป็นการบริการงานเกี่ยวกับนักเรียนในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนในห้องเรียน หลักในการจัดกิจกรรม ต้องให้นักเรียนมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมอย่างเสมอภาค ต้องอยู่ในความรับผิดชอบของสถานศึกษา ต้องปลูกฝังความคิด  5.การบริหารอาคารสถานที่และบริการด้านอื่นๆ คือการรู้จักจัดหา รู้จักใช้อาคารให้เกิดประโยชน์สูงสุดและให้คงสภาพดีสนองความต้องการได้อย่างเพียงพอ